
บางส่วนของบทกวี นอกจากเรื่องเหลือเชื่อแล้ว คงจะมีประวัติศาสตร์อยู่บ้าง และยากที่จะแยกความจริง ออกมาจากเรื่องที่แต่งขึ้น เป็นเรื่องปกติที่ตำนานกับประวัติศาสตร์ จะอยู่ในเรื่องเล่า เรื่องเดียวกัน
"พ่อครับ น้ำจะท่วมโลกจริง ๆ หรือครับ" ต้น เด็กน้อยวัย 6 ขวบ ถามพ่อขณะที่นอนอยู่บนเตียง เป็นเวลาที่เด็กทุกคนในวัยนี้ควรจะเข้านอน "เรือโนอาห์มีจริงมั้ย แล้วถ้าน้ำท่วมโลกเราจะไปอยู่ที่ไหนกันล่ะครับ" ต้นต้องการคำตอบ "ลูกต้องหลับตาก่อนนะครับ แล้วคุณพ่อจะเล่าให้ฟัง" พ่อน้องต้นพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน
แล้วพระเจ้าก็ตรัสกับโนอาห์...เจ้าจงสร้างเรือจากไม้โกเฟอร์ สร้างห้องหลาย ๆ ห้อง ไว้ในลำเรือ จงยา ภายในและภายนอกด้วยน้ำมันดิน...(เจเนซิส)
นั่นคือพระดำรัสของพระเจ้าต่อโนอาห์ ก่อนพระองค์ส่งน้ำมาล้างโลก โนอาห์สร้างเรือตามพระบัญชาของพระเจ้า นำครอบครัวพร้อมด้วยสัตว์นา ๆ ชนิด อย่างละคู่ ลงเรือหนีน้ำท่วมจากฝนที่ตกลงมาอย่างไม่หยุด ไม่หย่อน ถึง 40 วัน 40 คืน จนกระทั่งในที่สุดน้ำก็เริ่มลด แผ่นดินเริ่มแห้ง เรืออาร์ค(ARK) ของโนอาห์ก็ไปจอดเกยตื้นอยู่ที่ภูเขาอารารัต เรื่องราวในพระคัมภีร์นี้ เป็นที่รู้จักกันจนขึ้นใจ โดยเฉพาะในบรรดาชาวคริสต์ ยิว และมุสลิม
แล้วน้องต้นก็หลับก่อนที่พ่อจะเล่าจบ
แต่เรื่องน้ำท่วมโลกนี้เป็นเรื่องจริงหรือ? โนอาห์และเรืออาร์คมีจริงหรือไม่? รูปรอยเรือขนาดใหญ่ที่มีผู้เห็นฝังจมอยู่ในน้ำแข็งบนภูเขาอารารัตในตุรกีนั้นจะเป็นเรืออาร์คจริงไหม? หรือเรื่องราวทั้งหลายทั้งปวงนี้เป็นเพียงตำนานบวกอภินิหารที่ต่อเติมเสริมแต่งเพื่อสร้องศรัทธาในพระเจ้าเท่านั้น? มันคือจินตนาการหรือบันทึกเหตุการณ์ประวัติศาสตร์กันแน่?

ในเรื่องน้ำท่วมโลกนั้น ตำนานเกี่ยวกับเรื่องนี้มิได้มีเฉพาะในคัมภีร์ไบเบิลเท่านั้น แต่มีอยู่ในตำนานชนชาติเก่าแก่ทั่วโลกมานับพันปีแล้ว อัสซีเรียโนอาห์ ในชื่อ อัต-นาปิชติม (UT- NAPISHTIM) แห่งมหากาพย์กิลกาเมช ผู้ได้รับการเตือนจากเทพเจ้า ว่าน้ำจะท่วมโลก และเขาก็ได้สร้างเรือพาครอบครัวหนีมาได้ ตำนานกรีกมี ดิวคาเลียน (DEUCALION) ที่พาครอบครัวกับสัตว์ทั้งหลายลงเรือที่มีลักษณะเหมือนกับหีบหนีน้ำท่วม ซิอูซุนดรา (ZIUSUNDRA) กษัตริย์แห่งบาบิโลนก็ได้รับการเตือนจากเทพเจ้าให้สร้างเรือใหญ่ พาครอบครัว เพื่อนพ้อง สัตว์ และเสบียงหนีน้ำท่วมโลก
ในคัมภีร์ปุราณะของอินเดีย พระมนูกับสหายก็เป็นผู้หนีรอดมาจากน้ำท่วมโดยมี พระวิษณุในปางอวตารเป็นปลาใหญ่ช่วยลากเรือ
แม้อินเดียอดงในทวีปอเมริกา ก็มีตำนานทำนองนี้มาตั้งแต่ยังไม่ถูกชาวยุโรปรุกราน บิดาผู้ยิ่งใหญ่ของพวกเขาพาครอบครัวและสัตว์บางชนิดลงแพใหญ่ที่มีผนังปิดโดยรอบหนีน้ำท่วม ตำนานของเผ่าอินคาบอกว่าตัวลามาเป็นผู้เตือนเรื่องน้ำท่วม และพาเจ้าของหนีน้ำขึ้นไปบนเทือกเขาแอนดีส ส่วนแอสเท็คก็มีผู้หนีรอดจากน้ำท่วมโลกมาด้วยเรือใหญ่ที่ทำจากสนไซเปรสเช่นกัน
การขุดค้นทางโบราณคดีที่เมืองเออร์ (UR) ในดินแดนเมโสโปเตเมียเมื่อปี 1920 โดยเลโอนาร์ด วูลลี่ นั้น เขาได้ใช้วิธีขุดเจาะลงไปในดินเป็นปล่องลึกและเก็บวัสดุใต้ดินขึ้นมาดูเป็นชั้น ๆ ไป เศษโบราณวัตถุนานาชนิดถูกขุดเจาะขึ้นมาจากชั้นดินที่ย้อนหลังไปถึงยุคหลายพันปีก่อนคริสต์กาล แล้วจู่ ๆ เศษวัตถุโบราณเหล่นนั้นก็หายไปโดยสิ้นเชิง การขุดเจาะไม่ได้อะไรขึ้นมานอกจากโคลน แต่วูลลี่ก็ยังคงเดินหน้าขุดเจาะต่อไปอย่างไม่ย่อท้อ และเมื่อผ่านชั้นโคลนที่หนาราว ๆ 12 ฟุต ชั้นดินที่มีเศษโบราณวัตถุก็ปารกฏขึ้นอีกครั้ง ด้วยอีกอารยธรรมที่แตกต่าง และรุ่งเรื่องอยู่ก่อนหน้าการไหลบ่าของโคลน ชั้นดินโคลนที่หนาราว 12 ฟุตนั้น บ่งบอกว่านั่นมิใช่โคลนจากน้ำท่วมตามฤดูกาลประจำปีอย่างแน่นอน แต่เป็นน้ำท่วมระยะยาวนาน ก่อนจะเหือดแห้ง วูลลี่สรุปว่าชั้นโคลนหนาประมาณนี้มาจากน้ำท่วมที่สูงประมาณ 25 ฟุต ซึ่งนั่นก็เป็นระยะความสูงที่เทียบเคียงได้กับเรื่องราวในไบเบิล ที่บอกว่า "..กว่า 15 คิวบิตที่น้ำบ่าท้น.."

เหตุการณน้ำท่วมครั้งใหญ่และยาวนานมิได้จำกัดอยู่เฉพาะในดินแดนตะวันออกกลางเท่านั้น เคยมีผู้พบโครงกระดูกปลาวาฬบนภูเขาหิมาลัย พบเปลือกหอยและก้างปลาบนภูเขาอารารัต ที่ซากเมืองโบราณติอาฮัวนาโคในโบลิเวียที่เก่าแก่ถึง 15,000 ปี ซึ่งอยู่สูงขึ้นไปบนเทือกเขาแอนดีสถึง 2 ไมล์ ก็มีรอยเกลือทะเลเป็นแนว นักโบราณคดีสันนิษฐานว่าเมืองนี้เคยเป็นเมืองท่าริมทะเล ทั้งทะเลสาบติติคาคาใกล้กันนั้นครั้งหนึ่งก็เคยติดต่อกับมหาสมุทร
ชาวเกาะคานารีกกลางมหาสมุทรแอตแลนติก ซึ่งเป็นชนผิวขาวตาสีฟ้าก็อ้างว่าชนเผ่าของตนเป็นชนกลุ่มสุดท้ายที่หลงเหลืออยู่หลังจากเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่ที่ทำลายเมืองอันยิ่งยงของพวกตนไปจนหมดสิ้น และเกาะที่อยู่ในปัจจุบัน ครั้งหนึ่งก็เคยเป็นยอดเขาสูงในดินแดนนั้น
นักธรณีวิทยาสันนิษฐานว่าทะเลดำทะเลแคสเปียน และทะเลสาบอูราลนั้นเคยเชื่อมต่อกันเป็นทะเลหลวง โดยมีฝั่งตะวันออกของทะเลอยู่ที่โกบีตะวันตก และเรืออาร์คของโนอาห์ก็มิได้มาจากทางใต้ (ตำนานบาบิโลนบอกไว้ว่า เรืออาร์คสร้างขึ้นที่เมืองมาลา - MAALA ใกล้อาเดนในเยเมนปัจจุบัน) แต่มาจากทะเลใหญ่ทางตะวันออกเฉียงเหนือนี้ซึ่งปัจจุบันท้องทะเลได้กลายเป็นทะเลทรายไปแล้ว

เราจะบอกได้ว่าหาดทรายชายฝั่งดั้งเดิมนั้นอยู่ ณ ตำแหน่งใดนั้น ดูได้จากทรายและกรวด เพราะหาดทรายเกิดจากการที่คลื่นซัดสาดชายฝั่ง ทำให้เกิดทรายและกรวดที่กลมเกลี้ยงตามที่ต่าง ๆ ในโลก มีทั้งหาดทรายชายฝั่งโบราณและซากสัตว์ทะเลที่อยู่สูงเลยระดับน้ำทะเลขึ้นไปนับร้อยฟุต อย่างในอลาสกา แคลิฟอร์เนีย นอเวย์ และอีกหลาย ๆ ที่เช่นกัน หาดทรายและชายฝั่งก็จมลึกลงไปใต้น้ำ ซากแมมมอธมาสโตดอน และกระดูกมนุษย์พร้อมเครื่องก่อนประวัติศาสตร์ถูกขุดขึ้นมาจากท้องทะเลบริเวณดอกเกอร์แบงก์ ที่ทะเลเหนือ มีหาดทรายอยู่ใต้มหาสมุทรแอตแลนติกที่อะซอเรส ในบางที่หาดทรายอยู่ลึกลงไปในท้องทะเลถึง 3 ไมล์ครึ่ง มีซากอะไรบางอย่างที่เหมือนเมืองโบราณจมอยู่ในทะเลเมดิเตอเรเนียน ที่นอดชายฝั่งแอฟริกา ที่ใกล้อะซอเรส ที่หมู่เกาะมารีดา และบนไหล่ทวีปใกล้คิวบากับบาฮามาส์ ส่วนนอกชายฝั่งเปรูก็ยังมีกำแพงฝีมือมนุษย์ทอดยาวลึกลงไปในทะเลราว 1 ไมล์
หลักฐานทั้งมวลนี้ดูจะชี้ไปในทางเดียวกันว่า ครั้งหนึ่งเมื่อนานมาแล้วเคยมีเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่ที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของผู้คนและดินแดนบนโลกทั้งหมด บ้านเมืองและผู้คนส่วนใหญ่สูญสิ้นไปกับสายน้ำ แผ่นดินเปลี่ยนแปลง ที่สูงกลายเป็นที่ต่ำ และที่ต่ำก็อาจถูกยกสูงขึ้น คงจะมีผู้คนจำนวนหนึ่งรอดชีวิตมาได้ และสร้างอารยธรรมใหม่ขึ้น

เจมส์ เออร์วิน นักบินอวกาศผู้ลงเหยียบดวงจันทร์เมื่อปี 1971 ผู้เป็นหนึ่งในทีมสำรวจหาเรือโนอาห์ เขาพยายามขอเข้าไปสำรวจภูเขาอารารัตถึง 5 ครั้ง แต่ประสบอุปสรรคจากอากาศที่เลวร้ายบ้าง กองโจรเคอร์ดิชบ้าง และที่ถึงทางตันที่สุดก็คือคำสั่งห้ามของกองทัพตุรกี จนในที่สุดเขาก็ล้มเลิกโครงการไป
ต่อมา แดเนียล แม็คจิเวิร์น นักธุรกิจผู้มั่งคั่งชาวโฮโนลูลู ซึ่งนับถือศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิกกำลังสานต่อโครงการณ์ของ เออร์วิน ในปี 2003 เขาว่าจ้างดาวเทียมกำลังขยายสูงให้ถ่ายภาพบริเวณยอดเขาอารารัตในช่วงฤดูร้อนที่น้ำแข็งละลายไปมากกว่าหลายร้อยปีที่ผ่านมา ภาพที่ได้จากดาวเทียมนั้นภาพหนึ่งแสดงให้เห็นเรืออย่างชัดเจน เห็นกระทั่งคานเรือและแผ่นไม้ เขามั่นใจกว่า 90% ว่าใช่แน่นอน จึงทุ่มทุนถึง 1.8 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อจะส่งคณะสำรวจขึ้นไปบนยอดเขาอารารัต...ถ้าเพียงแต่รัฐบาลตุรกียอมให้เข้าไป

โรเบิร์ต บอลลาร์ด นักสมุทรศาสตร์ผู้มีชื่อเสียงเป็นอีกคนที่กำลังค้นคว้าในเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกันนี้ เขามิได้ค้นหาเรือโนอาห์ แต่เขากำลังสำรวจท้องทะเลดำเพื่อหาหลังฐานน้ำท่วมโลกสมัยท่านผู้เฒ่าแห่งคัมภีร์ไบเบิลนั้น บอลลาร์ดมีหุ่นยนต์ที่ทำงานได้ในน้ำลึก เป็นเครื่องมือสำคัญ หุ่นยนต์นี้เคยช่วยเขาค้นหาเรือลูซิตาเนียและไททานิคมาแล้ว ทั้งในทะเลเมดิเตอเรเนียนนี้ เขาก็เคยพบซากเรือโบราณอายุ 3,000 ปีในน้ำลึกกว่าพันฟุตด้วย เขาเชื่อว่าการสำรวจทะเลดำเป็นงานที่น่าสนใจอย่างยิ่ง เพราะทะเลดำเป็นห้วงน้ำใหญ่แห่งเดียวในโลกที่ไม่มีออกซิเจนในส่วนลึกเบื้องล่าง จุลินทรีย์ที่ทำลายเนื้อไม้ไม่อาจมีชีวิตอยู่ได้ใต้ท้องทะเลดำ ดังนั้น เรือและสิ่งใด ๆ ที่จมอยู่ก้นทะเลดำย่อมจะคงสภาพดีอยู่ได้ในน้ำนั้น------------------------------------------------------------------------------------
“ภาวะโลกร้อน” ความจริงช็อกโลก!!!

“ภาวะโลกร้อน” ความจริงช็อกโลก!!!
สรุปประเด็นข่าวโดยกระปุกดอทคอม
ภาพประกอบทางอินเทอร์เน็ต
ภาพประกอบทางอินเทอร์เน็ต
ขณะที่บ้านเราเจอภาวะฝนตกน้ำท่วม ไม่มีฤดูหนาว หรือแม้กระทั่งแผ่นดินไหวที่ จ.เชียงใหม่ อีกด้านในซีกโลกตะวันตก ผู้คนกำลังเผชิญหน้ากับภาวะโลกร้อน ร้อนจนร่างกายทนไม่ไหว ทำให้คนในยุโรปเสียชีวิตถึง 30,000 ศพ และในอินเดีย มีผู้เสียชีวิตไป 1,500 ศพ เมื่อปี 2003 ที่ผ่านมา

เหตุที่เกิดปรากฏการณ์เหล่านี้ในทางวิทยาศาสตร์ ระบุว่า เป็น “ภาวะโลกร้อน” อันเป็นผลจากการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และก๊าซ อื่น ๆ ที่มีคุณสมบัติดักจับความร้อนออกไปยังบรรยากาศของโลก ก๊าซเหล่านี้จะรวมตัวกันจนกลายเป็นผ้าห่มหนา ๆ ดักจับความร้อนของดวงอาทิตย์ และทำให้โลกมีอุณหภูมิร้อนขึ้น ยิ่งก๊าซเหล่านี้เพิ่มมากขึ้น ความร้อนก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย

ซึ่งเมื่อเกิดปรากฎการณ์เหล่านี้อาจส่งผลให้บางพื้นที่กลายเป็นทะเลทราย สิ่งมีชีวิตที่ไม่สามารถปรับตัวได้ก็จะสูญพันธ์ บางพื้นที่อาจประสบปัญหาน้ำท่วม น้ำแข็งขั้วโลกและบนยอดเขาสูงละลาย ทำให้ปริมาณ น้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้น พื้นที่ชายฝั่งทะเลได้รับผลกระทบ บางพื้นที่อาจจมหายไปอย่างถาวร และประชาชนอาจจะเจอคลื่นความร้อนที่มีอำนาจทำลายล้างแรงกว่าที่เคยพบมา

เหตุการภัยพิบัติทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นกำลังเตือนภัยอะไรเราชาวโลก ซึ่งหากเรายังปล่อยให้เกิด "ภาวะโลกร้อน" อยู่เช่นนี้ เชื่อได้ว่า อาจเกิดปรากฎการณ์ความจริง ช็อกหัวใจชาวโลกขึ้นอีกครั้งแน่นอน ทางแก้ที่ดีที่สุดก็คือ ทุกคนต้องลดใช้พลังงาน อันเป็นบ่อเกิดของมลพิษเพื่อให้โลกได้ปรับสมดุล และช่วยกันปลูกป่า เพื่อให้ธรรมชาติกลับคืนมาโดยเร็วที่สุด ไม่งั้น หากเกิน 10 ปี โลกเราอาจเข้าสู่จุดที่ไม่ สามารถกลับตัวได้

สาเหตุหลักของปัญหานี้
ภาวะโลกร้อน (Global Warming) หรือ ภาวะ ภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง (Climate Change) เป็นปัญหาใหญ่ของโลกเราในปัจจุบัน สังเกตได้จากอุณหภูมิของโลกที่สูงขึ้นเรื่อยๆ สาเหตุหลักของปัญหานี้ มาจาก ก๊าซเรือนกระจก ครับ (Greenhouse gases) ปรากฏการณ์เรือนกระจก มีความสำคัญกับโลก เพราะก๊าซจำพวก คาร์บอนไดออกไซด์ หรือ มีเทน จะกักเก็บความร้อนบางส่วนไว้ในในโลก ไม่ให้สะท้อนกลับสู่บรรยากาศทั้งหมด มิฉะนั้น โลกจะกลายเป็นแบบดวงจันทร์ ที่ตอนกลางคืนหนาวจัด (และตอนกลางวันร้อนจัด เพราะไม่มีบรรยากาศกรองพลังงานจากดวงอาทิตย์) ซึ่งการทำให้โลกอุ่นขึ้นเช่นนี้ คล้ายกับหลักการของเรือนกระจก (ที่ใช้ปลูกพืช) จึงเรียกว่า ปรากฏการณ์เรือนกระจก (Greenhouse Effect)
แต่การเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของ CO2 ที่ออกมาจากโรงงานอุตสาหกรรม รถยนตร์ หรือการกระทำใดๆที่เผาเชื้อเพลิงฟอสซิล (เช่นถ่านหิน น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ หรือสารประกอบไฮโดรคาร์บอน ) ส่งผลให้ระดับปริมาณ CO2 ในปัจจุบันสูงเกิน 300 ppm (300 ส่วน ใน ล้านส่วน) เป็นครั้งแรกในรอบกว่า 6 แสนปี
แต่การเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของ CO2 ที่ออกมาจากโรงงานอุตสาหกรรม รถยนตร์ หรือการกระทำใดๆที่เผาเชื้อเพลิงฟอสซิล (เช่นถ่านหิน น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ หรือสารประกอบไฮโดรคาร์บอน ) ส่งผลให้ระดับปริมาณ CO2 ในปัจจุบันสูงเกิน 300 ppm (300 ส่วน ใน ล้านส่วน) เป็นครั้งแรกในรอบกว่า 6 แสนปี

ซึ่งคาร์บอนไดออกไซด์ที่มากขึ้นนี้ ได้เพิ่มการกักเก็บความร้อนไว้ในโลกของเรามากขึ้นเรื่อยๆ จนเกิดเป็น ภาวะโลกร้อน ดังเช่นปัจจุบัน

ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และก๊าซเรือนกระจกอื่นๆ เป็นตัวการกักเก็บความร้อนจากแสงอาทิตย์ไว้ไม่ให้คายออกไปสู่บรรยากาศ
ซึ่งเป็นสิ่งที่ดี เพราะทำให้โลกของเรามีอุนหภูมิอบอุ่น สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้แต่ปัจจุบัน การเผาผลาญเชื้อเพลงฟอสซิลต่างๆ เช่น ถ่านหิน น้ำมันเชื้อเพลิง และการตัดไม้ทำลายป่า
ซึ่งการกระทำเหล่านี้ส่งผลให้ปริมาณ คาร์บอนไดออกไซด์ในบรรยากาศ เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล อันส่งผลกระทบต่างๆมากมายไม่ว่าจะเป็นอุณหภูมิของโลกที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ภัยธรรมชาติต่างๆเกิดบ่อยขึ้น และนี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นครับ

- จำนวนพายุ Hurricane Category 4 และ 5 เพิ่มขึ้นสองเท่า ในสามสิบปีที่ผ่านมา
- เชื้อมาลาเรียได้แพร่กระจายไปในที่สูงขึ้น แม้แต่ใน Columbian, Andes ที่สูง 7000 ฟุตเหนือระดับน้ำทะเล
- น้ำแข็ง ใน ธารน้ำแข็ง เขตกรีนแลนด์ ละลายเพิ่มมากขึ้นเป็นสองเท่าในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา
- สัตว์ต่างๆ อย่างน้อย 279 สปีชี่ส์กำลังตอบสนองต่อ ภาวะโลกร้อน โดยพยายามย้ายถิ่นที่อยู่

หากเรายังเพิกเฉยต่อสิ่งที่เกิดขึ้น รับรองได้เลยว่าจะเกิดเรื่องอย่างนี้แน่
- อัตรา ผู้เสียชีวิต จาก โลกร้อน จะพุ่งไปอยู่ที่ 300000 คนต่อปี ใน 25 ปีต่อจากนี้ - ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น 20 ฟุต
- คลื่นความร้อน จะมาบ่อยขึ้นและรุนแรงขึ้น
- ภาวะฝนแล้ง และไฟป่าจะเกิดบ่อยขึ้น
- มหาสมุทรอาร์กติกจะไม่เหลือน้ำแข็ง ภายในฤดูร้อน 2050
- สิ่งมีชีวิตกว่าล้านสปีชี่ส์เสี่ยงที่จะสูญพันธุ์